วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เหยี่ยวนักล่าเจ้าเวหา

                       เวลาที่เราเห็นเหยี่ยวบินอยู่บนท้องฟ้า ความสง่างามของมันเหนือกว่านกทั้งมวล ประสาทสัมผัสอันยอดเยี่ยมทำให้คนยกย่องเหยี่ยวเป็นสุดยอดของนักล่า ถ้าในป่ามีเสือเป็นเจ้าป่า บนฟากฟ้าเหยี่ยวย่อมรั้งตำแหน่ง เจ้าเวหา อย่างไม่ต้องสงสัย ในวัฎจักรธรรมชาติ เหยี่ยวยังอยู่บนสุดของโซ่อาหาร มีสถานะเทียบเท่ากับสัตว์บกกินเนื้อเพราะคอยทำหน้าที่ควบคุมปริมาณของสัตว์ต่างๆให้อยู่ในภาวะสมดุล
นกในกลุ่มเหยี่ยว จัดอยู่ในพวกนกล่าเหยื่อ เช่น เหยี่ยว นกอินทรี นกเลขานุการ แร้ง ไปจนถึงพวกนกกลางคืนอย่างนกแสกและนกเค้า หากพิจารณาจากลักษณะของเหยี่ยว จะพบว่ามันมีคุณสมบัติของความเป็นนักล่าอยู่ครบครัน ด้วยอาวุธอันทรงประสิทธิภาพซึ่งได้รับการออกแบบอย่างลงตัว
  • ตา-เหยี่ยวกลมโตอยู่ทางด้านข้างของหัว สายตาคมกริบมองเห็นได้ในระยะไกล มีสายตาดีกว่าคนเป็นร้อยเท่า นัยน์ตาเหยี่ยวจะมีน้ำมันช่วยหล่อเลี้ยง ทำหน้าที่เหมือนแว่นกรองแสง
  • หู-อยู่บริเวณข้างแก้มแม้จะไม่มีใบหูแถมยังมีขนปกคลุมแต่ประสาทสัมผัสในการได้ยินดีเยี่ยม
  • จมูก-อยู่บริเวณโคนปากบน มีรูจมูกเปิดกว้าง  ประสาทรับกลิ่นดีมาก อีแร้งสามารถได้กลิ่นซากสัตว์จากระยะไกลหลายกิโลเมตร
  • ปาก- จะงอยปากงองุ้มราวตะขอแหลมคมและแข็งแรงใช้สำหรับฉีกเหยื่อที่จับมาได้ออกเป็นชิ้นๆ
  • ปีก – แข็งแรงทรงพลังทำให้บินร่อนหาเหยื่อได้นานโดยใช้แพนหางช่วยในการเปลี่ยนทิศทาง การทรงตัว เหยี่ยวบางชนิดจะลู่ปีกลงเพื่อลดแรงปะทะช่วยเพิ่มความเร็วในการพุ่งเข้าหาเหยื่อ
  • ขา- ใหญ่แข็งแรงและกรงเล็บที่แหลมคมเป็นอาวุธประจำกายที่สำคัญที่สุดในการสังหารเหยื่อ เหยื่อเคราะห์ร้ายที่ตกอยู่ภายใต้กรงเล็บอันแข็งแรงของเหยี่ยวยากนักที่จะดิ้นหลุดรอดไปได้
เหยี่ยวส่วนใหญ่เป็นนักล่าที่ใช้ชีวิตสันโดษ ออกล่าเหยื่อตามลำพัง บริเวณที่จะพบเหยี่ยวได้ง่ายคือสถานที่เปิดโล่ง เพราะว่าเหยี่ยวต้องการพื้นที่กว้างขวางในการบินหาอาหาร ทุ่งนา พื้นที่ชุ่มน้ำ ชายฝั่งทะเลเป็นบริเวณที่เหยี่ยวชื่นชอบ
  • ตามสายไฟหรือต้นไม้ริมท้องทุ่ง เรามักพบเหยี่ยวขาวเป็นนกประจำถิ่น หากินในเมืองไทยตลอดปี อาหารหลักได้แก่ หนู มันจึงเป็นกำลังสำคัญในการกำจัดศัตรูพืชช่วยชาวนา
  • ตามหนองบึง ทะเลสาบ และลำน้ำใหญ่มักจะพบเหยี่ยวกินปลา ได้แก่ เหยี่ยวออสเปร เหยี่ยวปลาใหญ่หัวเทา เหยี่ยวปลาเล็กหัวเทา เหยี่ยวออสเปรจัดว่าเป็นนักหาปลาตัวยง
  • ตามชายทะเลเรายังพบเหยี่ยวกินปลาเจ้าประจำอีกกลุ่มหนึ่งคือ เหยี่ยวแดง และนกออก เหยี่ยวแดงเป็นนกที่มีสีสันสวยงาม หัวสีขาว ตัวสีน้ำตาล ไม่เหมือนเหยี่ยวชนิดอื่น ส่วนนกออกนั้นถือว่าเป็นลูกน้ำเค็มโดยแท้ ชอบเกาะอยู่ตามชายฝั่งและเกาะแก่งกลางทะเล บางคนเรียกว่าเหยี่ยวทะเล
  • ในป่าเต็งรังจะพบเหยี่ยวแมลงปอขาแดง ซึ่งมีขนาดเล็ก น่ารักแต่แฝงความเป็นนักล่าอยู่ครบครัน จะเกาะนิ่งอยู่ตามกิ่งไม้ หากได้จังหวะ ก็จะพุ่งออกไปโฉบกินแมลง แมลงปอขาดำเป็นเหยี่ยวที่เล็กที่สุดของไทยซึ่งมีถิ่นกำเนิดทางภาคใต้
ในทั่วโลกมีเหยี่ยว 304 ชนิด สำหรับประเทศไทยพบถึง 56 ชนิด ซึ่ง 3 ใน 4 เป็นเหยี่ยวอพยพ เมื่อเข้าฤดูหนาว เหยี่ยวพลัดถิ่นจะลี้ภัยหนาวมา จริงๆ แล้วความหนาวไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เหยี่ยวต้องละทิ้งแผ่นดินเกิด แต่เป็นเพราะป่าถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะ หาอาหารยาก เพื่อความอยู่รอดมันจึงต้องเดินทางสู่เขตอบอุ่นเพื่อไปยังแหล่งอาหารที่สมบูรณ์กว่า ราวเดือนกันยายน-พฤศจิกายน เหยี่ยวจะรวมตัวกันออกเดินทาง อาศัยความทรงจำและประสบการณ์ครั้งก่อน
เหยี่ยวอพยพในเมืองไทยอาจมีที่มาจาก 3 เส้นทาง คือ
  1. เส้นทางจากรัสเซียลงใต้มาทางจีนและไทย
  2. เส้นทางจากญี่ปุ่น ไต้หวัน ลงมาฟิลิปปินส์
  3. เส้นทางจากญี่ปุ่นและชายฝั่งทะเลของจีน ลงมาทางตอนเหนือของไทย
การเดินทางไกลต้องใช้พลังงานมากแต่เหยี่ยวมีวิธีทุ่นแรงโดยอาศัยมวลอากาศร้อน ซึ่งเกิดจากการที่อากาศร้อนลอยตัวขึ้นมาจากพื้นดินเมื่อถูกแสงแดดแผดเผา เหยี่ยวจะอาศัยมวลอากาศร้อนนี้พยุงตัวบินร่อนเป็นวงไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆจากนั้นจึงใชั้วิธีร่อนตามกระแสลมโดยแทบไม่ต้องกระพือปิก เหยี่ยวส่วนใหญ่มักไม่บินผ่านทะเล เพราะพื้นน้ำไม่ค่อยมีมวลอากาศร้อน
อุปสรรคในการบินอพยพของเหยี่ยวอีกอย่างหนึ่งคือ สภาพลมฟ้าอากาศ หากมีฝนตกจะพบว่าเหยี่ยวมักบินต่ำหรือหยุดบิน บางทีเจอพายุอาจจะทำให้พลัดหลงออกนอกเส้นทาง นอกจากนี้แล้วสิ่งก่อสร้าง เช่น ตึก เสาไฟ ก็ถือว่าเป็นอุปสรรคของพวกมัน การอนุรักษ์เหยี่ยวจึงเท่ากับเป็นการคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกัน
ในเมืองไทยได้จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการดูเหยี่ยวใช้ชื่อว่า เทศกาลดูเหยี่ยวอพยพ ครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 12-13 ตุลาคม 2545 บริเวณบ้านอู่ตะเภา ตำบลท่ายาง อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ต่อมาในปี 2547 ได้เลื่อนเทศกาลออกไปเล็กน้อย เป็นวันที่ 23-25 ตุลาคม เพื่อให้ผู้ร่วมงานได้ตื่นตากับฝูงเหยี่ยวกิ้งก่าสีดำ ซึ่งมักจะรวมตัวบินอพยพตรงกับวันปิยมหาราชเสมอ นอกจากนี้ยังพบเหยี่ยวผึ้งและเหยี่ยวนกเขาพันธุ์จีนซึ่งพบมากเช่นกัน
พอเข้าฤดูร้อน ราวเมษายน-พฤษภาคม ก็ถึงเวลาที่เหยี่ยวจะต้องออกเดินทางอีกครั้ง  เที่ยวบินขากลับเหยี่ยวจะเปลี่ยนเส้นทางบินไปใช้แนวเทือกเขาแทน โดยอาศัยแรงส่งจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ นำมันกลับสู่ถิ่นฐานบ้านเกิด เมื่อเหยี่ยวต่างถิ่นบินกลับภูมิลำเนา เหยี่ยวในเมืองไทยก็ถือโอกาสจับคู่ผสมพันธุ์เช่นกัน เหยี่ยวจะมีการจับคู่แบบผัวเดียวเมียเดียวตลอดชีวิต และมักจะใช้ชีวิตคู่กันตลอดทั้งปี แต่มักอยู่ห่างๆ และแยกกันหากิน
การระบุเพศเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากหากไม่ได้นำตัวมาเทียบกันใกล้ๆ ปกติเหยี่ยวตัวเมียมักมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ โดยทั่วไปเหยี่ยวพร้อมเจริญพันธุ์เมื่ออายุครบ 2 ปี แต่เหยี่ยวขนาดใหญ่ เช่น เหยี่ยวรุ้ง นกอินทรีบางชนิด อาจต้องใช้เวลามากกว่านั้น ส่วนเหยี่ยวขนาดเล็กอายุเพียง 1 ปีก็สามารสืบพันธุ์ได้แล้ว
เหยี่ยวส่วนใหญ่ทำรังวางไข่ปีละครั้ง รังเหยี่ยวมักอยู่ตามต้นไม้สูงหรือชะง่อนผา สร้างด้วยกิ่งไม้ซ้อนทับกันอย่างหยาบๆ แต่เหยี่ยวแมลงปอจะใช้รังของนกโพระดกหรือนกหัวขวานที่ไม่ใช้แล้ว หรือบางทีก็ใช้วิธีแย่งตัวอื่นๆ เหยี่ยวจะวางไข่ครั้งละ 2-4 ฟอง แต่บางชนิดก็วางไข่แค่ฟองเดียว เหยี่ยวขนาดเล็กจะวางไข่มากกว่านั้น บางตัวอาจถึง 7 ฟอง แต่ส่วนมากเรามักพบไข่ในรัง 2 ฟอง
ไข่จะฟักพร้อมๆกัน เมื่อแรกเกิดจะมีขนสีขาวฟูฟ่อง ขนนุ่มๆทำหน้าที่ช่วยให้ความอบอุ่นแก่ลูกนก เมื่อเติบโตขึ้นมาจะนำอาหารมาวางไว้ที่ก้นรังให้ลูกนกแย่งจิกกินลูกนกที่ลืมตาออกมาดูโลกก่อน มีขนาดใหญ่กว่าแข็งแรงกว่าแย่งกินอาหารได้มากกว่า ฝ่ายลูกนกตัวที่เล็กกว่าแย่งกินอาหารไม่ทันก็จะยิ่งอ่อนแอลงและอดตายไปในที่สุด ความตายของลูกนกถือเป็นเรื่องธรรมดา ตัวที่ตายจะกลายเป็นอาหารสำหรับตัวที่มีชีวิตรอด
ทุกวันนี้ป่าเมืองไทยถูกคุกคามหลงเหลือน้อยนิดเพราะคนตัดไม้ทำลายป่า ในขณะที่สัตว์ป่าต่างถูกล่าไปมากมายความอุดมสมบูรณ์ลดน้อยลง อาหารการกินของเหยี่ยวก็หาได้ยากลำบากขึ้น การลดจำนวนลงของนกนักล่าเห็นได้ชัด แม้จะมีศักดิ์ศรีเป็น เจ้าเวหา แต่นกนักล่าแห่งฟากฟ้าก็ยังต้องพ่ายแพ้ต่อน้ำมือมนุษย์ซึ่งมีความสามารถในการทำลายล้างสูง อนาคตของเหยี่ยวจึงไม่แตกต่างจากสัตว์ป่าอื่นๆ



เหยี่ยวแฮร์ริส

             เหยี่ยวแฮร์ริส (Harris’ hawks) อาศัยรวมกันเป็นฝูงขนาดเล็กและพัฒนากลยุทธ์ซับซ้อนเพื่อล่าเหยื่อร่วมกัน
เหยี่ยวแฮร์ริสเป็นนกที่ชอบสังคมและออกล่าเหยื่อพร้อมกัน พวกมันพัฒนาวิธีล่าที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างน้อย 3 รูปแบบ แม้เหยี่ยวแฮร์ริสจะไม่ใช่นกขนาดใหญ่ แต่ด้วยกลยุทธ์การล่าสัตว์ที่มีประสิทธิภาพสูงส่งผลให้มันล้มเหยื่อขนาดเล็กไปจนถึงขนาดเท่ากระต่ายได้
     ส่วนพวกมันจะใช้เทคนิคไหนในการล่านั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ต้องเผชิญ นั่นคือสภาพภูมิประเทศและชนิดของเหยื่อที่พวกมันหมายตาอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังพัฒนาเทคนิคพิเศษที่ถูกปรับให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมด้วย เช่น หากภูมิประเทศเปิดโล่งแล้วพวกมันไม่ต้องการให้เหยื่อตื่นตกใจจนหนีไป พวกมันจะเลี่ยงการบิน แล้วใช้วิธียืนซ้อนอยู่บนหลังเหยี่ยวอีกตัว (บางครั้งซ้อนกันถึง 3 ตัว) เพื่อมองเห็นเหยื่อได้ชัดเจนขึ้น
ซุ่มโจมตี
1.เหยี่ยวเป็นนักย่องเบา และเดินได้ไวอย่างน่าประหลาดเมื่อต้องเคลื่อนที่บนพื้น
2.มันใช้คุณสมบัติดังกล่าวเคลื่อนตัวอย่างเงียบกริบจากพุ่มไม้หนึ่งไปอีกพุ่มหนึ่ง
3.เมื่อเข้าถึงเหยื่อใกล้พอ เหยี่ยวแฮร์ริสจะพุ่งเข้าใส่และตะครุบเหยื่อทันที
กลยุทธ์โอบล้อม
หากเหยื่อเป็นนกหรือกระต่ายฝูงเล็กๆ เหยี่ยวแฮร์ริสจะบินเข้าโอบล้อม หลอกไล่ต้อนให้เหยื่อตกใจ หนีไปตามทิศทางที่มีผู้ล่าตัวจริงดักรออยู่
1.เหยี่ยวแฮร์ริสเล็งเป้าเหยื่อ แล้วบินวนรอบๆ 
2.เหยี่ยวตัวหนึ่งโฉบหลอก ในขณะที่เหยี่ยวตัวอื่นปิดกั้นทิศทางไม่ให้หนี
3.เหยื่อกลัวจนวิ่งเตลิดไปเข้าทางกรงเล็บของเหยี่ยวที่ดักฆ่าอยู่
ไล่ให้หมดแรง
หากเหยื่อที่บินไม่ได้อย่างกระต่ายป่า เคลื่อนที่ได้เร็วกว่า เหยี่ยวจะเปลี่ยนยุทธวิธี เป็นผลัดกันบินไล่กวดคล้ายการ "วิ่งผลัด”
1.เหยี่ยวเลือกเหยื่อ เช่น กระต่าย เหยี่ยวตัวแรกเริ่มต้นบินไล่เพื่อเปิดเกม
2.ทุกระยะ 100-300 เมตร เหยี่ยวตัวใหม่จะผลัดกันทำหน้าที่ไล่ตามเหยื่ออย่างต่อเนื่อง
3.สุดท้ายกระต่ายที่วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตก็เหนื่อยล้าเมื่อวิ่งช้าลงก็ถูกเหยี่ยวฆ่าทันที

เหยี่ยวแฮร์ริสมีไอคิวสูงมาก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้พวกมันสามารถพัฒนากลยุทธ์การล่าเหยื่ออันซับซ้อนและเป็นสัตว์สังคมทำให้เป็นที่ชื่นชอบของนักฝึกเหยี่ยว
ปีก มีลักษณะค่อนข้างสั้นและกว้าง ทำให้เหยี่ยวแฮร์ริสเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วแต่บินได้ไม่เร็วมากนัก
สายตา อันแหลมคมทำให้เหยี่ยวส่องหาเป้าหมายได้ง่ายดาย
ขาของเหยี่ยวแฮร์ริสค่อนข้างยาว ซึ่งใช้ได้ดีทั้งวิ่งและเดิน เหมาะสำหรับการลอบเข้าจับเหยื่อ
     เหยี่ยวแฮร์ริสเป็นหนึ่งในสุดยอดนกจอมสังหาร พวกมันพัฒนาเทคนิคการจู่โจมที่หลากหลาย เพื่อปรับใช้ตามชนิดของเหยื่อ ขึ้นอยู่กับว่าต้องการล่านกเล็กๆ หรือกระต่าย

นกอินทรีหัวขาว

                อินทรีหัวขาว หรือ อินทรีหัวล้าน (อังกฤษ: White-Head Eagle, Bald Eagle, American Eagle) เป็นนกอินทรีชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่าHaliaeetus leucocephalus
เป็นนกขนาดใหญ่ มีจุดเด่น คือ ขนส่วนหัวจนถึงลำคอเป็นสีขาว ตัดกับสีขนลำตัวและปีกซึ่งเป็นสีดำ และปลายหางสีขาว ขณะที่กรงเล็บ รวมทั้งจะงอยปากเป็นสีเหลือง
มีขนาดโตเต็มที่ประมาณ 70-102 เซนติเมตร (28-40 นิ้ว) ความยาวปีกเมื่อกางปีก 1.8-2.3 เมตร (5.9-7.5 ฟุต) และมีน้ำหนักประมาณ 2.5 ถึง 7 กิโลกรัม (9-12 ปอนด์) ขณะที่ตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ประมาณร้อยละ 25 สามารถบินได้เร็วประมาณ 48 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีสายตาที่สามารถมองได้ไกลประมาณ 1 ไมล์ (1.6 กิโลเมตร)
best-efforts-main-002
จัดเป็นนกที่มีความสวยงามและสง่างามมากชนิดหนึ่ง มีถิ่นกระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาเหนือตลอดไปจนถึงเม็กซิโกตอนเหนือ และทะเลแคริบเบียน มักอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำหรือชายทะเล เพราะกินปลาเป็นอาหารหลัก
มีอายุขัยโดยเฉลี่ยประมาณ 25-30 ปี ในขณะที่ยังเป็นนกวัยอ่อนจนถึง 5 ขวบ ขนบริเวณหัวและปลายหางจะยังเป็นสีน้ำตาล ไม่เปลี่ยนไปเป็นสีขาว
อินทรีหัวขาวถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยปรากฏในตราประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และอีกหลายหน่วยงานราชการในประเทศ
อินทรีหัวขาว เป็นนกที่ได้รับการคุ้มครองในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1940 หลังจากอินทรีหัวขาวใน 48 รัฐ เหลือเพียง 417 รังเท่านั้น ต่อมาสถานการณ์เริ่มดีขึ้นในปี ค.ศ. 1963 เมื่อจำนวนรังเพิ่มขึ้นเป็น 7,066 รัง สาเหตุที่จำนวนอินทรีหัวขาวลดลง เนื่องจากการใช้ดีดีที และการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ จนกระทั่งในต้นปี ค.ศ. 2006 มีแนวคิดจะถอดถอนชื่อออกจากบัญชีสัตว์สงวนแห่งชาติ และต่อมาในปี ค.ศ. 2012 ก็ได้มีการอนุญาตให้ล่าได้เพื่อการประกอบพิธีทางศาสนาของอินเดียนแดง เพราะถึงแม้ว่าจะมีการถอนชื่อแล้วในปี ค.ศ. 2007 แต่ทว่าก็ยังมีกฎหมายฉบับอื่นให้การคุ้มครองอยู่
 669886-img-1365393205-2

การจับปลาของอินทรีหัวขาว

















ชีวิตของนกอินทรี

                       นกอินทรีย์พออายุ 40 ปี
★ปากของมันจะงองุ้ม จะจิกจะกินอะไรก็ทำได้ยาก
★เล็บมันจะยาวและ โค้งงอ มันจะจับสัตว์กินเป็นอาหารเหมือนเดิม มันก็ไม่อาจจะสามารถทำได้ง่าย
★และปีกที่งามของมันก็จะเกิดขนปกคลุมจนหนาและหนัก
ที่ให้มันบินแต่ละครั้ง
ต้องทำด้วยความยากลำบาก
ช่วงเวลานี้กินเวลายาวนานถึง 150 วัน หรือ 5 เดือนกว่า

พอมาถึงช่วงนี้มันมีทางเลือก 2 ทาง ในชีวิต คือ
1.ฆ่าตัวตายเสีย
2.ต้องอดทนและต้องผ่านบททดสอบนี้ไปให้ได้

★ เมื่อมันเลือก ★
■ ทางเลือกที่ 1.... มันก็สามารถทำได้ด้วยการเอากรงเล็บปาดคอตัวเอง
จบชีวิตมันลง หรือไม่ก็ทรมานตายไปเอง... แต่ถ้ามันเลือกทางเลือกที่ 2....มันต้องบินขึ้นสู่ภูเขาหินสูง และเคาะปากมันกับหินเป็นร้อยเป็นพันครั้งเพื่อให้จงอยปากของมันหลุดออกมา หลังจากนั้นมันต้องเคาะเล็บตนเอง ที่งองุ้มกับพื้นหินที่แข็ง ให้ เล็บหลุดออกมาทีละเล็บจนหลุดออกจนหมด มันต้องจิกขนที่หนาเตอะตรงอก ตรงปีกออกทีละชิ้น ทีละชิ้น จนขนที่หนาเตอะเหล่านั้นหมดไป
★แน่นอน
กระบวนการเหล่านี้ต้องกินเวลานาน และเจ็บปวดทุกข์ทรมานแสนสาหัส สากรรจ์
★กระบวนการจะเริ่มอย่างช้าๆ และ สิ้นสุดลงเมื่อครบ 150 วันเมื่อมันผ่านไปได้รางวัลของมัน คือปากที่จะงอก ออกมาใหม่สวยงามกว่าเดิมเล็บที่จะงอก ออกมาใหม่ เล็บแหลมคมและขน งอกออกมาใหม่อย่างสวยงามทำให้เหมาะแก่การล่าสัตว์หาอาหารและแก่การดำรงชีวิต  และของขวัญล้ำค่าอีกอย่างคือ ชีวิตที่จะมีต่อไปได้อีก 30 ปี เป็นชีวิตที่จะมี 30 ปี ที่สง่างามและมีเกียรติ มันจะบินขึ้นบนท้องฟ้าอีกครั้ง ด้วยปีกที่ทรงพลังกว่าเดิม
★แต่ถ้าหากว่ามันไม่ผ่านบททดสอบ มันไม่ยอมทนทุกข์ และไม่ยอมเจ็บทนเอาปากออก และไม่ยอมเจ็บเพื่อจะเอาเล็บตนเองออก และไม่ยอมอดทนที่จะจิกเอาขนที่มีจำนวนมากมายและ หนาเตอะออก
เมื่อผ่าน 150 วันมันจะต้องตายในที่สุด  มีนกอินทรีย์หลายตัวมากที่ผ่านบททดสอบ และก็มีจำนวนมหาศาลมากเช่นกันที่ตายในบททดสอบ 150 วัน นี้ มนุษย์เราเมื่อเกิดมาแล้วเราก็ต้องมีทั้งสุขและทุกข์เมื่อเราเจอเหตุการณ์ ที่ทำให้เราต้องเจ็บปวดเราต้องอดทนจนถึงที่สุดเพราะเรารู้ว่าเมื่อเราผ่านมันไปได้
ชีวิตเราย่อมมีสิ่งที่ดี ๆ รอเราข้างหน้าแน่นอน....
ถ้ามีหลายครั้งที่เราเจ็บเหลือเกินเราร้องไห้ เราล้มลงทั้งยืนให้เรา..อย่าหมดหวังในชีวิต จงลุกขึ้นสู้อุปสรรคนั้น อย่าคิดทิ้งบททดสอบเหมือนนกอินทรีย์บางตัว ที่ไม่ยอมทนเจ็บ ไม่ยอมทนทรมานเพียงชั่วคราว ช่วงเวลา แห่งความทุกข์มีกันทุกคน แต่มันไม่ได้มีตลอดนิรันดร์
เมื่อเราผ่านได้มันก็จะหายไปเอง เหลือทิ้งไว้ แต่  ความเข้มแข็งของเราที่มีมากกว่าเดิมอุปสรรคไม่เคยฆ่าใครตาย อุปสรรค เป็นกำแพงที่มีเพื่อให้เราข้าม เพื่อที่เราจะเติบโตเพื่อที่เราจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อที่เราจะงดงามขึ้น

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การใช้ชีวิตของนกอินทรี

               นกอินทรีเป็นสัตว์ปีกที่มีอายุยาวนานที่สุดในโลก  มันมีอายุนานถึง70ปี และ เป็นนกจำพวกนกล่าเหยือขนาดใหญ่ ในวงศ์ Accipitridae มีโคลงสร้างร่างกายที่แข็งแรง ประกอบไปด้วยกระดูกกล้ามเนื้อ ส่วนต่างๆ ขน และกรงเล็บเป็นหลัก มีขนาดปีกและหางที่กว่าง อินทรีเป็นนกที่มีลักษณะสวยงาม สายตาคม บินเร็วและโจมตีเหยื่อได้อย่างแม่นยำ และสามารถมองเห็นเหยื่อได้จากระยะไกล  สามารถบินได้ตั่งแต่พื้นราบ จนถึงความสูง 2100 เมตร และจัดได้ว่าเป็นสัตว์ที่มีสายตาดีที่สุดในโลก เป็นนกที่กินเนื้อเป็นอาหาร ซึ่งได้แก่ ปลา งู สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น หนู อินทรีเป็นสัตว์ที่อาศัยกระจัดกระจาย อยู่ตามพื้นที่ต่างๆยกเว้น พื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น นกอินทรีเมื่อมีอายุ 40 ปี
ปากของมันจะงองุ้ม จะจิกกินอะไรก็ทำได้ยาก และเล็บมันจะยาวและโค้งงอ และปีกทีงามของ มันก็จะเกิดขนปลกคลุมจนหนา และหนักทำให้มันบินด้วยความลำบาก
 
     

                                                                                     
 1 นกอินทรีทอง คือหนึ่งในนกล่าเหยื่อทางซีกโลกเหนือนกชนิดนี้เป็นสายพันธุ์อินทรีที่กระจายตัวกว้างขว้างที่สุดในโลก เหมือนกับนกอินทรีทั่วไปที่อยู่ในวงศ์เหยี่ยวและอินทรี นกอินทรีทองมีขนสีน้ำตาลเข้มและมีขนสีน้ำตาลทองที่อ่อนกว่าบริเวณต้นคอ นกอินทรีที่ยังไม่โตเต็มตัวโดยปกติจะมีสีขาวที่หาง และบ่อยครั้งมีขนสีขาวที่ปีก โดยปกติแล้วนกอินทรีทองใช้ความสามารถของมันและความเร็วในการรวมเท้าที่ทรงพลังและกรงเล็บที่แหลมคมในการจับเหยื่อที่หลากหลาย เหยื่อหลักๆ ของมันคือ กระต่ายแจ็กกระต่าย มาร์มอท และกระรอกดินอื่นๆ



นกอินทรีทองรักษาขอบเขตที่อยู่หรือดินแดนของมันซึ่งกว้างขวางประมาณ 200 ตารางกิโลเมตร (77 ตารางไมล์) พวกมันสร้างรังนกขนาดใหญ่ในพื้นที่สูง (หน้าผาเป็นหลัก) ซึ่งมันอาจจะกลับมาในปีที่มีการผสมพันธุ์ กิจกรรมผสมพันธุ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ พวกมันมีคู่ครองเพียงตัวเดียวและอาจจะยังคงอยู่ด้วยเป็นเวลาหลายปีหรือตลอดชีวิต ตัวเมียวางไข่ 4 ฟอง และใช้เวลาฝักไข่ 6 อาทิตย์ โดยปกติแล้วลูกนกหนึ่งหรือสองตัวเท่านั้นที่จะรอดชีวิตและถูกเลี้ยงจนกระทั่งบินได้ในเวลา 3 เดือน นกอินทรีทองวัยรุ่นเข้าสู่อิสรภาพอย่างเต็มตัวในฤดูใบไม้ร่วง หลังจากนั้นพวกมันจะบินเร่ร่อนอย่างกว้างขวางจนกระทั่งมีการสร้างเขตแดนสำหรับตัวมันเองใน 4 ถึง 5 ปี



ครั้งหนึ่งนกอินทรีทองเคยอยู่อย่างแพร่หลายทั่วซีกโลกเหนือ แต่พวกมันได้หายไปจากหลายๆ พื้นที่ซึ่งมนุษย์ได้เข้ามาอาศัยอยู่ แม้ว่ามีการทำลายล้างในบางขอบเขตที่อยู่ของมัน หลายๆ สายพันธุ์ยังคงพบได้ทั่วไปพอสมควร ในปัจจุบันมีการขยายออกที่กว้างขวางในทวีปยูเรเชียอเมริกาเหนือ และในส่วนของแอฟริกาเหนือ พวกมันคือนกอินทรีที่มีประชากรหนาแน่นน้อยที่สุดและใหญ่ที่สุดใน 5 สายพันธุ์ของวงศ์เหยี่ยวและอินทรีที่ปรากฏทั้งในเขตชีวภาพพาลีอาร์กติก และเขตชีวภาพนีอาร์กติก (อเมริกาเหนือ)
นกอินทรีทองยังเป็นนกประจำชาติของประเทศเม็กซิโกอย่างเป็นทางการ และประเทศอียิปต์อย่างไม่เป็นทางการ นอกจากนี้ยังเป็นสัตว์ประจำชาติอีก 2 ประเทศคือ แอลเบเนีย และเยอรมนี